Android เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาที่พัฒนาโดย Google ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานของ Linux และแจกจายให้นำไปใช้งานฟรี ซึ่งมีบริษัทต่างๆ นำไปพัฒนาต่อ เพื่อใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง ซึ่งจะเป็นมือถือสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นส่วนใหญ่ Android เวอร์ชันต่างๆ
ระบบปฏิบัติการ Android เริ่มเปิดตัวครั้งแรก เมื่อปี 2008 ในบทความนี้จะกล่าวถึง Android 4.1 หรือรุ่น Jelly Bean

Android เริ่มเปิดตัวครั้งแรก เมื่อปี 2008 และได้พัฒนารุ่นต่างๆ ออกมาดังนี้

1. Amdroid 1.5 หรือรุ่น CupCake  เป็นรุ่นพื้นฐานสุดๆ ช่วยให้เครื่องทำงานได้และมีเพียงโปรแกรมพื้นฐานเท่านั้น

2. Android 1.6 หรือรุ่น Donut  พัฒนาต่อจากรุ่น 1.5 เน้นเพิ่มความละเอียดการแสดงผลหน้าจอ เพราะอุปกรณ์ที่ติดตั้งเพื่อใช้งานกับโอเอสรุ่นนี้มีหน้าจอเริ่มใหญ่ขึ้น คือพวกแท็บเล็ตนั่นเอง

3. Android 2.0 หรือรุ่น Eclair  รุ่นนี้ได้เพิ่ม App Launcher เพื่อความสวยงามในหน้าจอแรก ก่อนจะเรียกเข้าเมนูหลักรวม App ในเครื่อง เพิ่ม Wal Paper ที่เคลื่อนไหวได้ หน้าจอดูดีขึ้น

4. Android 2.2 หรือรุ่น Froyo เป็นรุ่นยอดนิยมที่ยังใช้กันอยู่มาก ค่อนข้างเสถียร มีการเพิ่มความสามารถให้ติดตั้ง App ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น มีหน้าจอหลายโหมด เช่น Car Mode, Night Mode เพื่อประโยชน์ใช้งานหลายแบบ

5. Android 2.3 หรือรุ่น Gingerbread  ปัจจุบันเป็นรุ่นที่ยังใช้กันอยู่มากเช่นกัน โดยเฉพาะในมือถือ รุ่นนี้มีการปรับปรงคีย์บอร์ด เพิ่มคำสั่ง Cut Copy และ Paste เพื่อความสะดวกในการก็อปปี้ข้อความข้ามโปรแกรม เพิ่มคุณสมบัติ Video Calling ในการสนทนา

6. Amdroid 3.0-3.2 หรือรุ่น Honeycomb  แอนดรอยด์รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้กับแท็บเล็ตโดยเฉพาะ รองรับหน้าจอใหญ่และซีพียูหลาย Core และ GPU ตัวประมวลผลกราฟิคเพื่อให้แสดงภาพได้ดีขึ้น

7. Android 4.0 หรือรุ่น Ices Cream Sandwich  รุ่นนี้เหมือนเป็นการรวม Android 3.0-3.2 เข้ากับรุ่น 2.3 มีการเพิ่มลูกเล่นการล็อกด้วยใบหน้า แต่สามารถปลดล็อกได้ไม่ยาก โดยเอารูปถ่ายของเจ้าของเครื่องไปปลดล็อกได้ ส่วนความสามารถรวมๆ ให้การใช้งานที่ไหลลื่นดีมากหากเป็นรุ่นที่ไม่มีการปรับแต่งใดๆ ใช้ Android 4.0 แท้ๆ จะใช้ดีมาก ปัญหาน้อยมาก (จากที่ลองเองมาหลายรุ่น) และแท็บเล็ตรุ่นปัจจุบัน (2012) จะเริ่มปรับมาใช้ตัวนี้กันหมดแล้ว มีน้อยมากที่ใช้แอนดรอยด์เวอร์ชันเก่า

8. Android 4.1 หรือรุ่น Jelly Bean  เป็นรุ่นปี (2012) มีการเพิ่มความสามารถหลายด้านเข้าไป การใช้งานไหลลื่น เร็วกว่า รุ่น 4.0 Ices Cream Sandwich สำหรับความสามารถที่เพิ่มเข้ามาเช่น การสั่งงานด้วยเสียง มีเมนูภาษาไทย คีย์บอร์ดภาษาไทย มีการใช้เสียงพูดแทนการพิมพ์ข้อความ (Voice Typing) สามารถใช้ NFC ผ่าน Bluetooth เป็นการส่งไฟล์โดยเอาสองเครื่องมาแตะกันผ่านบลูทูธ และการแจ้งเตือนได้มีการปรับแต่งใหม่ดูสวยงามกว่าเดิม

 


ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่น 4.2 นี้ จะมาพร้อมกับแท็บเล็ตที่ผลิตขายโดย Google ซึ่งก็จะมีรุ่น Nexus 4 และ Nexus 10 การใช้แท็บเล็ตของ Google มีข้อดีมากๆ ก็คือ หากโปรแกรม Android มีการอัพเดท คุณก็จะได้สิทธิ์นั้นก่อนใคร 

สำหรับรุ่นนี้มีความสามารถเด่นๆ หลายอย่าง แต่ที่น่าจะเป็นประโยชน์มากที่สุด น่าจะเป็น ควาสามารถในการใช้งานหลายคนในเครื่องเดียวกัน

การรองรับผู้ใช้งานหลายคนใน Android 4.2

คุณสัมบัตินี้น่าสนใจและมีประโยชน์ เพราะในแต่ละครอบครัว คงเป็นส่วนส่วนน้อยที่สามารถซื้อแท็บเล็ตไว้ใช้งานส่วนตัว พ่อ แม่ ลูกก็คนละเครื่อง แต่หากมีแค่เครื่องเดียวก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะพ่อก็สามารถสร้างบัญชีเพื่อใช้งานเฉพาะของตนเอง เช่นทำงานเอกสาร เล่นเน็ต รับส่งอีเมล์ ลูกๆ ก็สร้างบัญชีของตนเองจะเล่นเกมหรือทำอะไรก็แยกกันอยู่แล้ว ข้อมูลไม่เกี่ยวข้องกัน มีความเป็นส่วนตัวในเครื่องเดียว

ความสามารถในการส่งภาพหรือวิดีโอผ่าน Wireless

การใช้แท็บเล็ตหลายคนมีจุดประสงค์เพื่อการนำเสนอข้อมูล คุณสมบัตินี้น่าจะทำให้หลายๆ คนชื่นชอบ เพราะสามารถส่งผ่านข้อมูลในแท็บเล็ตไปแสดงบนจอ HDTV ได้เลย โดยผ่านทาง Wireless ไม่ต้องเชื่อมต่อ แต่จะว่าไปค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อผ่านสายน่าจะประหยัดกว่า เพราะสายสัญญาณไม่น่าจะแพงมาก แต่กรณีเชื่อมต่อผ่านไวร์เลสต้องหาอุปกรณ์ไวร์เลสมาใช้กับทีวีด้วย

การแสดงภาพแบบ Photo Sphere เหมือนเราไปอยู่ข้างในภาพนั้นจริงๆ เป็นการแสดงภาพที่คล้ายกับ สตรีทวิว คล้ายกับว่าเราไปยืนอยู่ตรงนั้น แล้วมองไปรอบๆ รวมถึงข้างบนด้วย ทำให้เห็นภาพสถานที่นั้นๆ อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

ยังมีคุณสมบัติอื่น ที่น่าสนใจอีกมากมาย แต่รวมๆ แล้วจะหาข่าวนำเสนอกันต่อไปจ้า...


บัตร ATM แบบ Debit ที่รวมความสามารถในการถอนเงินผ่านตู้ ATM และซื้อสินค้า ช่วยให้สะดวกในการซื้อ App แต่มีข้อควรระวัง เพราะหากใครรู้ข้อมูลบัตร แล้วเราไปใช้ ก็สามารถใช้บัตร Debit ของเราซื้อแอพได้เลย ลองมาแล้ว ตัดเงินออกไปโดยไม่ลังเลและถามยืนยัน

บัตรสำหรับใช้บริการของธนาคาร แต่ก่อนเราอาจจะคุ้นกับบัตร ATM ซึ่งไว้ถอนเงินจากตู้ ATM เพื่อความสะดวก แต่เดียวนี้จะมีบัตรอีกประเภทหนึ่งคือ บัตร Debit บัตรแบบนี้นอกจะเราจะสามารถใช้ถอนเงินจากตู้ ATM แล้ว เรายังใช้ซื้อของในอินเตอร์เน็ต หรือซื้อของโดยไม่ต้องพกเงินสด เพราะเมื่อสั่งจ่ายเงิน ระบบจะไปตัดเงินในบัญชีธนาคารของเราอัตโนมัติ บัตรแบบนี้ต้องมีเงินสดในบัญชีถึงจะซื้อได้ ต่างจากบัตรเครดิต ซึ่งเป็นการยืมเงินธนาคารมาก่อน แล้วเราค่อยผ่อนจ่ายอีกที แต่บัตร Debit ผู้ใช้ต้องมีเงินในบัญชี ไม่อย่างนั้นจะใช้ไม่ได้

การใช้บัตรแบบนี้ ที่นิยมใช้กันจะเป็นของธนาคารกรุงเทพและกสิกรไทย แนะนำให้ใช้ของธนาคารกสิกรไทย โดยเฉพาะบัตร Kweb Shopping Card เพราะก่อนจะตัดเงินจากบัญชีเราไปนั้น ระบบจะเตือนเราก่อนว่ามีการซื้อสินค้าผ่านบัตร หากมีใครเอาของเราไปใช้ ก็จะยกเลิกได้

ข้อมูลบนบัตร Debit

ข้อมูลสำคัญบนบัตร Debit ค่อนข้างสำคัญ ไม่ควรให้ใครรู้ เพราะเคยลองให้น้องเอาไปใช้ สามารถสั่งซื้อแอพและตัดเงินจากบัญชีธนาคารได้ทันที ซึ่งไม่เพียงแค่แอพ เท่านั้น เคยลองซื้อของในอินเตอร์เน็ตก็ทำได้เช่นกัน ไม่เข้าใจว่าทำไม ธนาคารถึงหิวเงินขนาดนี้ ให้มีการทำธุรกรรมที่ง่ายเหลือเกิน แลกกับค่าธรรมเนียมหรืออย่างไร ไม่ไหวๆ เรื่องนี้ต้องถึง ผอ.

1. หมายเลขบัตร มี 4 หลัก 4 ชุด

2. วันบัตรหมดอายุ

3. ด้านหลังบัตร หมายเลข CVV แนะนำให้จดเอาไว้ แล้วขูดทิ้งจะดีที่สุด ป้องกันการเอาไปใช้งาน


การใช้งานมือถือ Android เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ต ต้องระวังในเรื่องการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต หากเผลอเปิดใช้งาน Data Connection หรือการใช้การรับสั่งข้อมูลผ่านมือถือ ลืมปิด ระบบก็จะทำการเชื่อมต่อตลอดเวลา ใครที่ใช้เน็ตซิมแบบจำกัดจำนวนชั่วโมงมีสิทธิ์กระเป๋าฉีก แน่นอน การเปิด Data Connection ทั้งไว้ แอพบางตัวอย่าง Gmail, Line, Facebook, Twitter จะทำการเชื่อมต่ออัตโนมัติ ส่งผลให้เกิดการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา ซึ่งค่าบริการจะแพงมาก บางรายคิดที่ นาทีละบาท มันเป็นช่วงเวลานาทีทอง ต้องเข้าใจ และก็มีคนไทยกี่แสนกี่ล้านคนในแต่ละวันแต่ละเดือนที่เผลอลืม รวยกับรวยจ้า ....มันเรื่องของเค้า เรื่องรวย แล้วแต่โชคชะตา ฟ้าลิขิต แต่เรื่องจน เราทำได้ไม่ยาก แค่เปิด Data Connection ไว้ทุกเดือน แค่นั้นเอง ฮา

การป้องกันเน็ตรั่ว  การป้องกันทำได้หลายวิธี เช่น

1. ถ้ามีเงินมากพอและจ่ายได้ไม่มีปัญหา ก็เปลี่ยนไปใช้บริการแบบ ไม่จำกัด เพราะเวลาพลาดแล้ว บางทีแผลหนักเอาเรื่อง บางเล่นไปหลายพันบาทเหมือนกัน

2. กรณีใช้งานไม่จำกัด เช่น เดือนละ 20 ชั่วโมง กรณีนี้ก็ต้องมีระเบียบวินัยและรอบคอบ ปิดตัวเลือก Data connection ทุกครั้งที่เลิกใช้งาน คล้ายกับการหยุดการเชื่อมต่อเวลาเราใช้งานอินเตอร์เน็ตเท่านั้นเอง แต่งงว่าทำไมลืมบ่อยมาก ทั้งๆที่ใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นอย่างนั้น แต่พอใช้มือถือ เผลอเป็นไม่ได้ ลืมแทบทุกครั้ง

3. หากงบจำกัด แต่ต้องการการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลา ไว้รับอีเมล์ หรือเล่น faceboo หรือโปรแกรมแช็ตอย่างพวก ไลน์ ก็สามารถใช้บริการแบบคิดตามข้อมูลที่มีการรับส่ง เพราะกรณีนี้ข้อมูลเป็นข้อความอย่างเดียว ซึ่งจะไม่มากนัก ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อเน็ตได้ทั้งวัน แต่.... ต้องตรวจสอบบ่อยๆ เช่น ใช้แพ็กเกจ 100 MB ต่อเดือน หากเกินกว่านั้น บางรายคิดแพงมาก ต้องระวัง ไม่เช่นนั้นก็กระเป๋าฉีกเหมือนเดิม

สรุปแล้วเราต้องรอบคอบ มีสติในการใช้งาน สตางค์ในกระเป๋าเราก็จะยังอยู่ดี ไม่หมดไปโดยไม่จำเป็น

เงื่อนไขที่แจ้งไว้ท้ายแพ็กเกจ เงื่อนไขที่หลายคนไม่เคยอ่าน เช่น เกินกว่านั้นคิดค่าบริการนาทีละ 1 บาท ชั่วโมงละ 60 บาท แพงกว่าร้านเน็ตหลายเท่า พลาดแล้วละก็ เลือดซิบแน่นอน


ขนาดหน้าจอมือถือ Android ส่งผลต่อความสะดวกในการใช้งาน หากเลือกได้อย่างเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง ก็จะใช้งานมือถืออย่างมีความสุขและคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป เพราะอุปกรณ์เหล่านี้ตกรุ่นเร็ว เทคโนโลยี่ โปรแกรมต่างๆ อัพเดทเร็วมาก แถมราคาก็ตกเร็วเช่นกัน 

หน้าจอมือถือ Android ขนาดต่างๆ

ขนาดหน้าจอจะเรียกเป็นนิ้ว แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ โดยเฉพาะ Samsung จะมีตัวเลือกเยอะมาก คำแนะนำก็คือหาโอกาสไปลองใช้งาน ตามห้างโลตัสจะมีเครื่องให้ลองเล่น ดูขนาดหน้าจอว่าเหมาะสมกับการใช้งานของเราหรือไม่ โดยเฉพาะบางคนที่ใช้มือถือ Android เรียกได้ว่าแทบจะแทนโน้ตบุ๊คไปเลย เพราะความสะดวก กรณีนี้ต้องเลือกหน้าจอที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ใกล้เคียง 5 นิ้วจะดีมาก

การเลือกหน้าจอใหญ่ๆ แบบนี้คุ้มค่าในระยะยาว เพราะเราจะสามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่านั่นเอง ตัวอย่างเช่น

1. การดูรูปภาพ ดูวิดีโอหรือทีวีออนไลน์ สามารถดูรายละเอียดได้มากกว่า

2. กรณีต้องเดินทางก็สามารถใช้งานโปรแกรมแผนที่ช่วยวางแผนการเดินทางได้ โดยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ก็ใช้งานได้ดีเช่นกัน จะดูแผนที่ หรือภาพถ่ายทางดาวเทียมก็ได้ทั้งนั้น

3. หากเป็นคนชอบอ่านอีบุ๊ค การพกพาอีบุ๊คไว้อ่านยามว่าง หากใช้มือถือขนาดหน้าจอ 4 นิ้ว ขึ้นไป จะดีมากก็ควรใกล้เคียง 5 นิ้ว การอ่านจะทำได้ดีพอสมควร ตัวหนังสือกำลังดี ไม่ต้องใช้การซูมแต่อย่างใด นอกเสียจากสายตาจะเริ่มมีปัญหาแล้ว

4. การท่องอินเตอร์เน็ต ใช้บริการต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต ทำได้ดีเช่นกัน กรณีแสดงหน้าจอในแนวนอน จะสามารถซูมแค่ระดับเดียวแล้วอ่านได้สบายๆ ในอนาคตเว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานบนมือถือจะมีมากขึ้น หน้าจอขนาดใหญ่ได้เปรียบเพราะจะสามารถท่องเน็ตผ่านมือถือได้เลย

5. การเล่นเกม หน้าจอขนาดใหญ่ได้เปรียบอยู่แล้ว เพราะเกมบางเกมมีขนาดหน้าจอที่ค่อนข้างใหญ่ หากใช้กับจอเล็กๆ จะล้นจอ เสียเวลาย่อขยายหน้าจอบ่อย เช่น เกม Angry bird

ขนาดของหน้าจอยังมีส่วนสำคัญอื่นๆ อีกที่จะส่งผลต่อความคมชัดและความสวยงามของหน้าจอ เช่น จำนวนจุดสีบนหน้าจอ ยิ่งมากความละเอียดยิ่งสูง ขนาดของหน้าจอ 800x480 หรือ 1027 x 768 ฯลฯ ตัวเลขยิ่งมากก็ยิ่งดี ภาพคมชัดกว่า เวลาแสดงตัวหนังสือ ก็จะคมชัดอ่านง่ายกว่า

การใช้งานมือถือ โดยความคิดเห็นส่วนตัวแล้วจะให้ความสำคัญกับขนาดหน้าจอ ที่ควรจะใกล้เคียง 5 นิ้วหรือประมาณนี้ เพราะรองรับการใช้งานได้หลากหลายและแม้จะใหญ่ แต่ก็ยังสามารถถือหรือใช้โทรได้โดยไม่ถูกล้อเลียนว่าใช้ม่านบังแดด และหากได้เครื่องที่แบตเตอรี่ทนๆ ใช้งานได้นานทั้งวัน ก็จะยิ่งดีมาก เพราะหากต้องเดินทางออกนอกสถานที่ ก็ไม่ต้องห่วงว่าแบตเตอรี่จะหมดเสียก่อน


ไฟล์วิดีโอที่สามารถใช้งานกับแท็บเล็ต android มีหลายฟอร์แมทเช่น .3gp, avi, mp4 โดยเแพาะแบบ 3gp นั้นมั่นใจได้ 100% ส่วนไฟล์วิดีโอใน Youtube ที่เป็นไฟล์แบบ mp4 ก็สามารถก็อปปี้มาใช้ในแท็บเล็ตแอนดรอยด์ได้เลยเช่นกัน

ตัวอย่างการก็อปปี้ไฟล์วิดีโอลงแท็บเล็ต Android

1. เชื่อมต่อแท็บเล็ต Andorid กับคอมพิวเตอร์ พร้อมตั้งค่าการเชื่อมต่อ เปิดใช้งาน USB Connect แตะที่ Turn on USB storage

2. แตะ OK

3. จะปรากฏหน้าจ Turn off USB storage แสดงว่าได้เชื่อมต่อแล้ว หากต้องการหยุดใช้การเชื่อมต่อ ต้องแตะปุ่มนี้ก่อน แล้วค่อยดึงสายเชื่อมต่อออกจากตัวเครื่อง เป็นการป้องกันข้อมูลเสียหาย

4. เมื่อทำการตั้งค่าการเชื่อมต่อแล้ว ในคอมพิวเตอร์ของเราก็จะมีไดรว์เพิ่มเข้ามาเช่น ไดรว์ H

5. สำหรับวิดีโอนั้น ให้เราก็อปปี้ไปไว้ในโฟลเดอร์ชื่อว่า DCIM และ Caera ตามลำดับ

6. ตัวอย่างก็อปปี้ไปแล้ว 5 ไฟล์ด้วยกัน แต่ไฟล์วิดีโอบางแบบ เช่น wmv ของ microsoft, ไฟล์วิดีโอแบบ DAT ในแผ่นวิดีโอซีดี และไฟล์วิดีโอแบบ VOB ในแผ่นวีดีโอ DVD จะไม่สามารถใช้งานได้ ต้องแปลงไฟล์เป็นวิดีโอแบบ 3gp เสียก่อน

7. การก็อปปี้เราก็สามารถก็อปปี้ไปวางตรงๆ ได้เลย

8. ทดลองเล่นวิดีโอ ในหน้าจอแท็บเล็ต ตัวอย่างการเล่นวิดีโอใน Android 4.0 ให้เข้าโปรแกรม Gallery

9. แตะโฟลเดอร์ Camera เพราะเราได้ก็อปปี้วิดีโอไว้ในนี้

10. ก็จะเจอวิดีโอที่ได้ก็อปปี้เข้ามา แตะที่วิดีโอเพื่อเล่นได้เลย


บทความสอนวิธีการแปลงวิดีโอในแผ่น CD หรือ DVD ซึ่งอาจจะเป็นหนัง การ์ตูน คาราโอเกะ คอนเสิร์ต ฯลฯ แปลงเป็นวิดีโอไว้ดูในแท็บเล็ต แต่ปกติแล้วหลายคนจะใช้วิธีนำฮาร์ดดิสก์แบบพกพามาต่อพ่วงมากกว่า แล้วจึงอ่านไฟล์วิดีโอในฮาร์ดดิสก์อีกที แต่วิธีนี้เหมาะสำหรับแท็บเล็ตที่ไม่รองรับการเชื่อมต่อพอร์ต USB หรือ Micro USB ทำให้ไม่สามารถต่อกับแฟลชไดรว์หรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกได้ 

สำหรับพ่อแมที่มีลูกที่ยังเล็ก เด็กบางคนนั้นเลี้ยงง่ายมาก แค่เปิดการ์ตูนโปรดให้ดู ก็ไม่ขยับไปไหน แถมยังดูบ่อยๆ ได้ไม่มีเบื่อ กรณีที่ต้องเดินทาง หรือไปท่องเที่ยว ทำกิจกรรมต่างจังหวัด แล้วเจ้าตัวเล็กไม่อยู่กับที่ ก็อาจจะใช้ตัวช่วยแบบนี้ เห็นเพื่อนที่มีลูก หลายคนก็ใช้แท็บเล็ตช่วยเลี้ยงลูกด้วยวิธีนี้

Acala 3GP Movies Free

สำหรับโปรแกรมช่วยในการแปลงวิดีโอจากแผ่น CD หรือ DVD ในที่นี้จะใช้โปรแกรม Acala 3GP Movies Free โปรแกรมนี้สามารถดาวน์โหลดได้ที่ download.com หรือตามลิงค์ http://download.cnet.com/Acala-3GP-Movies-Free/3000-2194_4-10562341.html?tag=mncol;8 images/androidimages/androidosg0018.jpg

ขั้นตอนการแปลงวิดีโอจากแผ่น CD หรือ DVD ไว้ดูในแท็บเล็ต

1. ใส่แผ่นวิดีโอ CD หรือ DVD เข้าไปในช่องอ่าน

2. ดับเบิ้ลคลิกไอคอนโปรแกรม Acala 3GP Movies Free บนหน้าจอ

3. คลิกปุ่ม + เพื่อไปเลือกวิดีโอ

4. กรณีเป็นแผ่นวิดีโอ CD ไฟล์วิดีโอจะอยู่ในโฟลเดอร์ MPEGAV

5. ส่วนไฟล์วิดีโอจะชื่อคล้ายตัวอย่างเช่น AVSEQ01.DAT ให้เลือกไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ไฟล์เล็กๆ จะเป็นหนัง

ตัวอย่าง

6. เลือกแล้ว ก็คลิก Open

7. ตัวอย่างไฟล์วิดีโอที่ได้เพิ่มเข้ามารอการแปลงวิดีโอ

8. ตั้งค่าเกี่ยวกับการแปลงวิดีโอเช่น ขนาด Frame Size ลองที่ขนาดต่างๆ แล้วค่อยเปิดดูว่าคุณภาพพอรับได้หรือไม่ การเลือกค่าน้อยๆ ไฟล์วิดีโอก็จะมีขนาดเล็ก แต่ตรงนี้ต้องดูขนาดหน้าจอมือถือ หากแปลงวิดีโอไปใช้กับมือถือทั่วไป ก็ควรระบุขนาดหน้าจอตามนั้น ส่วนค่า Fram Rate เช่นกัน หากเลือกค่าที่สูงๆ วิดีโอก็จะไหลลื่นเพราะมีจำนวนเฟรมมากขึ้น

9. ชนิดของไฟล์นั้นเราจะเลือกแบบ .3gp ในแท็บเล็ตหรือมือถือ Android เราจะใช้แบบนี้

10. ส่วน Quick Settings จะเป็นคุณภาพของเสียง คุณภาพของวิดีโอ ลองเลือกค่าต่างๆ เพื่อทดสอบ แต่ละแบบขนาดไฟล์ที่ได้จะใหญ่หรือเล็กตามคุณภาพของวิดีโอ

11. ในส่วน Output Folder คลิกปุ่มไปเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการเก็บไฟล์ที่ได้จากการแปลง

12. คลิกเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการเช่น video_tablet แล้วคลิก OK

13. คลิกปุ่ม Start mission เริ่มทำการแปลงวิดีโอ

14. หลังจากแปลงเสร็จแล้วจะปรากฏกรอบข้อความ Mission acconplished

15. เราจะไปดูความแตกต่างของไฟล์ต้นฉลับและไฟล์วิดีโอที่ได้แปลงเรียบร้อยแล้ว ไฟล์วิดีโอต้นฉบับนั้นจะมีขนาดใหญ่มากประมาณ ห้าร้อยกว่า MB

16. ส่วนไฟล์วิดีโอที่แปลงแล้วมีขนาดประมาณ 181 MB ขนาดเล็กลงประมาณ เกือบ 2 ใน 3 ของขนาดเดิม



สำหรับแท็บเล็ตจากจีน ที่เป็นแบบ WiFi อย่างเดียว ก็สามารถซื้อ Aircard แบบ USB หรือ MiFi มาใช้งานได้ ยี่ห้อยอดนิยมก็คือของ Huawei

ตัวอย่างแอร์การ์ดแบบ USB ใส่ซิมการ์ดแล้วเชื่อมต่อกับพอร์ด USB หรือ MicroUSB ที่ตัวแท็บเล็ต

ส่วนแอร์การ์ดแบบ MiFi จะสะดวกในการใช้งานมากกว่า เพราะสามารถใส่ซิมแล้วเปิดกระจายสัญญาณผ่าน WiFi ช่วยให้ใช้งานแท็บเล็ตได้หลายเครื่อง ต่างจากแอร์การ์ดแบบ USB ใช้ได้เครื่องเดียว แต่ราคาก็สูงกว่า



การเชื่อมต่อแบบนี้ค่อนข้างสะดวก สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ แต่แท็บเล็ต Android ที่รองรับการใช้งานกับซิมการ์ด จะมีราคาสูง ส่วนเครื่องราคาถูกก็มีแต่อาจจะไม่รองรับ 3G และแบตเตอรี่ก็ใช้ได้ไม่นานนัก อีกทั้งต้อง

เลือกค่ายมือถือสำหรับใช้งานแท็บเล็ตนั้นๆ ด้วย หลายรุ่นแยกกันเลยระหว่าง Dtac True และ AIS ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนจะซื้อมาใช้งาน เช่น ที่บ้านไม่มีสัญญาณ Dtac แต่ดันไปซื้อเครื่องที่รองรับเฉพาะ Dtac ก็จบกัน

 

การเลือกโปรโมชันสำหรับใช้งานอินเตอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน เพราะโปรโมชันซิมการ์ดสำหรับเล่นเน็ตนั้นมีหลายแบบ ต้องเลือกให้เหมาะกับการใช้งานและศึกษาวิธีการควบคุมการใช้ให้ดี เพราะที่หลายคนเจอบ่อยๆ ก็คือ เน็ตไหลหรือเน็ตรั่ว เนื่องจาก App หรือโปรแกรมในแท็บเล็ตบางตัวอย่าง Facebook หรือโปรแกรมรับส่งข้อความต่างๆ จะทำการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยตัวเอง ทำให้เกิดการใช้งานอินเตอร์เน็ตเกินจากที่กำหนด เช่น โปรโมชัน 99 บาท 20 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะเกินหากไม่ควบคุม ปล่อยให้โปรแกรมทำการเชื่อมต่อตามใจชอบ

หากการเล่นเน็ตจำเป็นต้องเชื่อมต่อตลอดเวลา เพื่ออ่านอีเมล์ ใช้งานระบบ Push email หรือรับส่งข้อความ FaceBook ก็ควรใช้แบบไม่จำกัด หรือ Unlimited หากใช้ข้อมูลไม่มากนัก อาจจะลองใช้แบบจำกัดปริมาณการใช้งานเช่น250 MB ต่อเดือน เพราะหากใช้แค่การรับส่งอีเมล์ เล่น FaceBook ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่ข้อความ ปริมาณข้อมูลที่รับส่งก็จะไม่มากนัก

ตั้งค่าการใช้งานซิมการ์ดสำหรับเล่นเน็ต
หากเป็นการใช้งานซิมการ์ดโปรโมชันเล่นเน็ตแบบจำกัดการใช้งาน จำเป็นต้องตั้งค่าก่อนไม่เช่นนั้นเกินแน่นอน
1. เข้าหน้า Settings แล้วแตะ Data Usage
2. ดูในส่วน Mobile data ทุกครั้งที่เลิกใช้งานอินเตอร์เน็ตแล้ว ต้องเลื่อนไปตำแหน่ง Off ปิดการใช้งานการรับส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์ ไม่เช่นนั้นพวก App Facebook หรือโปรแกรมเช็คเมล์จะทำการเชื่อมต่อเอง ทำให้เสียเงิน หลายคนแม้จะรู้แต่ก็จะลืมและบางครั้งก็เสียเงินเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
3. คราวนี้ก็ใช้งานได้เลย เข้าโปรแกรมท่องเน็ตหรือจะแช็ตก็ตามใจชอบ แต่เล่นเสร็จแล้ว ปรับค่า Mobile data ไปที่ Off เหมือนเดิม



เป็นรูปแบบการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตสำหรับการใช้แท็บเล็ตเพื่อท่องอินเตอร์เน็ตที่ค่อนข้างง่ายและเป็นที่นิยม เพราะสามารถเชื่อมต่อได้ความเร็วสูงกว่าการใช้แบบอื่นๆ อีกทั้งจุดให้บริการอินเตอร์เน็ตแบบ WiFi ก็หาได้ไม่ยาก เช่น ตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ

การเลือกซื้อแท็บเล็ตมาใช้งานนั้น ต้องพิจารณาต้องหาข้อมูลก่อน โดยเฉพาะแท็บเล็ตราคาถูกจากจีนนั้น คุณภาพการรับสัญญาณ WiFi ไม่ค่อยดีนัก หากอยู่ค่อนข้างห่างจากจุดกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ต ก็จะรับไม่ดีนัก อาจจะไม่เห็น หรือเห็นแต่ติดๆ หลุดๆ หากเป็นแท็บเล็ตราคาสูง แบรนด์ดังก็ไว้ใจได้ว่าไม่มีปัญหาแน่นอน

 

วิธีการเชื่อมต่อแท็บเล็ตผ่าน WiFi
1. ที่ตัวเครื่องให้แตะไอคอนรวมแอพ
2. แตะไอคอน Settings

3. ในส่วน WiFi ให้ เลื่อนแถบเลื่อนไปที่ On เพื่อเปิดใช้งาน
4. หากอยูในบริเวณที่มีสัญญาณ ก็จะสามารถมองเห็นจุดให้บริการเช่น Siamebook ดูสัญลักษณ์ด้านหลัง หากเป็นแบบนี้แสดงว่าไม่ต้องใช้รหัสผ่าน แตะชื่อจุดให้บริการอินเตอร์เน็ต จากนั้นก็เปิดโปรแกรมท่องเน็ตได้ทันที
5. ส่วนจุดให้บริการที่มีการใส่รหัสป้องกันไว้ ก็จะมีสัญลักษณ์รูปกุญแจ กรณีนี้หากไม่มีรหัสผ่าน ก็ไม่สามารถใช้งานได้ จากตัวอย่างเช่น Connectify-Suse จำเป็นต้องมีรหัสผ่าน
6. หลังจากใช้งานอินเตอร์เน็ตเสร็จแล้ว ก็เลื่อนแถบเลื่อนไปที่ Off ปิดการใช้งานแท็บเล็ต



การเชื่อมต่อแท็บเล็ตกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตทำได้สามารถทำได้หลายแบบ 

A. เชื่อมต่อผ่าน WiFi
WiFi เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่มีในแท็บเล็ตอยู่แล้ว จึงทำให้การเชื่อมต่อแท็บเล็ตเพื่อใช้อินเตอร์เน็ตผ่าน WiFi จึงได้ได้ทันทีหากอยู่ในจุดที่มีอินเตอร์เน็ตแบบ WiFi ให้บริการ ซึ่งหาไม่ยาก เช่น ในบ้าน ที่ทำงาน ร้านอาหาร ร้านกาแฟ เป็นต้น ส่วนใหญ่ให้บริการฟรี เชื่อมต่อและใช้งานได้ทันที

 

B. เชื่อมต่อผ่านสัญญาณมือถือ หรือมือถือ หรือแอร์การ์ด
สำหรับแท็บเล็ตที่สามารถใส่ซิมมือถือได้ ก็จะสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ แต่แท็บเล็ตที่รองรับการใช้งานกับซิมการ์ดหรือสัญญาณมือถือจะมีราคาแพงกว่าแท็บเล็ตที่มีแต่ WiFi เพียงอย่างเดียว

1. ตัวอย่างแท็บเล็ตที่สามารถใส่ซิมการ์ดเพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านสัญญาณมือถือได้
samsung tab 7.0 3G+WiFi

2. ตัวอย่างแท็บเล็ตแบบ WiFi อย่างเดียวไม่รองรับซิมการ์ด ก็สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ โดยผ่านแอร์การ์ด หรือการกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากมือถือ หรือ MiFi
samsung tab 7.0 WiFi

** ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ lazada.co.th

C. เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านสายแลน
สำหรับแท็บเล็ตบางยี่ห้อจะมีพอร์ด RJ45 สำหรับเชื่อมต่อใช้งานเน็ตเวิร์คหรืออินเตอร์เน็ตผ่านสายแลน แต่ปัจจุบันน่าจะมีน้อยมากสำหรับเครื่องแบบนี้


Moborobo โปรแกรมจัดการกับข้อมูลในแท็บเล็ตหรือมือถือ Android, iPhone, iPad และสมาร์ทโฟนอื่นๆ เป็นโปรแกรมที่ควรมีไว้ติดเครื่อง นอกจากความสามารถในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เหล่านี้แล้ว ก็ยังสามารถใช้จับภาพหน้าจอแท็บเล็ตหรือมือถือได้อีกด้วย 

สำหรับผู้ใช้งานมือถือหรือแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android นี่คือฟรีโปรแกรมดีๆ ที่ควรมีติดเครื่อง โดยเฉพาะความสามารถในการจับภาพหน้าจอมือถือหรือแท็บเล็ต Android ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่สามารถจับภาพหน้าจอได้ ต้องติดตั้งแอพเพิ่มลงไป ไม่เหมือนพวก iPhone หรือ iPad

การใช้งานโปรแกรม Moborobo
1. ในคอมพิวเตอร์ต้องติดตั้งโปรแกรมให้เรียบร้อย แล้วเปิดโปรแกรมรอไว้ก่อน
2. ในแท็บเล็ตให้เข้าไปที่ Settings แล้วแตะเลือก Developer options >> USB debug ให้ปรากฏเครื่องหมายถูก
3. คราวนี้ก็เสียบสาย USB เชื่อมต่อระหว่างแท็บเล็ต Android กับ Computer
4. ในหน้าจอโปรแกรม Moborobo ให้คลิกคำสั่ง Refresh เพื่อให้ค้นหาแท็บเล็ตที่เชื่อมต่อ แต่ปกติแล้ว โปรแกรมจะทำการเชื่อมต่อให้เลย

5. ก็จะเห็นเครื่องแท็บเล็ตที่ได้เชื่อมต่อ แท็บเล็ตราคาถูกจากจีนบางรุ่นจะขึ้นชื่อเป็น No Name ไมแสดงชื่อ
6. แต่แท็บเล็ตหรือมือถือ Android บางรุ่นจะแสดงชื่อรุ่น ยี่ห้อ เครื่อง

ความสามารถของโปรแกรมนี้
แสดงข้อมูลเกี่ยวกับแท็บเล็ต Android ที่เชื่อมต่อ
เมื่อเชื่อมต่อแท็บเล็ตหรือมือถือแบบสมาร์ทโฟนไม่ว่าจะเป็นระบบ Android หรือ iOS เข้ากับคอมพิวเตอร์ แล้วเปิดโปรแกรม Moborobo เพื่อจัดการข้อมูลในเครื่อง ก็จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับตัวอุปกรณ์เช่น ข้อมูลยี่ห้อเครื่อง ข้อมูลในSD Card พื้นที่ว่าง พื้นที่ใช้งาน จำนวนภาพหรือวิดีโอในเครื่อง

แสดงข้อมูลการใช้โทรศัพท์ ข้อความ
ในแท็บ Data จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานโทรศัพท์ สายเข้า สายออก ข้อมูลการรับส่งข้อความ การจัดการกับรายชื่อหรือ Contact

ความสามารถในการจัดการแอพในมือถือหรือแท็บเล็ต
ในแท็บ Apps ไว้จัดการกับโปรแกรมภายในมือถือหรือแท็บเล็ต จะสามารถดูรายชื่อได้ ว่ามีโปรแกรมอะไรบ้าง พร้อมแยกประเภทแอพให้เสร็จสรรพ แอพกลุ่มที่ดาวน์โหลดมา แอพหลักของระบบปฏิบัติการ Android สามารถลบแอพออกจากเครื่องได้

ความสามารถในการฟังเพลง จัดการกับข้อมูลเพลง
ในแท็บ Tunes ไว้สำหรับจัดการกับเพลง ริงโทนหรือเสียงเตือนแบบต่างๆ ในแท็บเล็ตหรือมือถือระบบปฏิบัติการ Android สามารถฟังเพลงได้ ลบ ก็อปปี้เพลงได้

ความสามารถในการจัดการกับภาพ
แท็บ Images จะรวมคำสั่งในการจัดการกับภาพในแท็บเล็ตหรือมือถือ Android เช่น ดูภาพที่ถ่ายไว้ด้วยแอพ Camera ภาพ Wallper ภาพใน Gallery ในเครื่องหรือ SD Card มีภาพอะไรบ้าง สามารถดูได้ทั้งหมด

ความสามารถในการจัดการกับไฟล์วิดีโอ
แท็บ Videos จะรวมคำสั่งในการจัดการกับวิดีโอในแท็บเล็ตหรือมือถือ Android สามารถเล่นวิดีโอในเครื่องได้ นำออกจากเครื่องหรือลบได้เลย

จัดการกับธีมของแท็บเล็ตหรือมือถือ Android
สำหรับธีมจะเป็นโปรแกรม Launcher สำหรับแท็บเล็ตหรือมือถือ Android ปรับแต่งหน้าแรกหรือ Home ให้มีสีสัน ตามธีมของ Moborobo สามารถติดตั้งได้ฟรี


บทความสอนสร้างการเชื่อมต่อแท็บเล็ต Android กับคอมพิวเตอร์ผ่านสาย USB เพื่อถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครื่อง เช่น ถ่ายโอนไฟล์เพลง ไฟล์หนัง ฯลฯ
1. เสียบสาย USB ของแท็บเล็ตเข้ากับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์
2. ในหน้าจอแท็บเล็ตสำหรับบางเครื่องจะปรากฏหน้าจอ USB Mass Storage เพื่อให้ทำการตั้งค่าการเชื่อมต่อ ให้แตะที่ Turn on USB storage
3. แตะ OK
4. หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นตัวหุ่นสีส้ม และแสดงปุ่ม Turn off USB storage เวลาที่ต้องการหยุดการใช้งานต้องแตะปุ่มนี้ก่อนจะดึงสาย USB ออกจากคอมพิวเตอร์

5. กลับไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะปรากฏกรอบข้อความ Removable disk ให้คลิกเลือก Open folder to view files แล้วคลิก OK
6. หรือจะเข้าโปรแกรม Windows Explorer เลยก็ได้
7. ซึ่งก็จะพบกับไดรว์ที่เพิ่มเข้ามาในเครื่องเช่น Removable Disk ให้คลิกที่ไดรว์ดังกล่าว ก็จะปรากฏข้อมูลในเครื่อง ซึ่งอาจจะมีโฟลเดอร์ต่างๆ แต่จะมีอะไรบ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับ App ที่มีการติดตั้งในเครื่อง ซึ่งแอพบางตัวจะสร้างโฟลเดอร์ไว้เก็บข้อมูลเฉพาะไว้เรียกใช้งาน
8. ส่วนกรณีที่เป็นภาพถ่ายจากกล้องหรือวิดีโอ จะอยู่ในโฟลเดอร์ DCIM>>Camera
9. สำหรับการก็อปปี้ข้อมูลใดๆ ลงในหน่วยความจำของแท็บเล็ต เราสามารถสร้างโฟลเดอร์แยกเก็บให้เป็นระเบียบได้ตามต้องการ เพราะตัวแท็บเล็ต Android จะมีโปรแกรมจัดการไฟล์ข้อมูลที่สามารถเข้าดูข้อมูล ลบ เปิดดู ได้คล้ายๆ กับ Windows Explorer
10. โฟลเดอร์เหล่านี้จะมีบางโฟลเดอร์ที่เป็นโฟลเดอร์มาตรฐาน หากเอาไฟล์ประเภทใดไปไว้ในนั้น เมื่อเปิดแอพในแท็บเล็ต ก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที เช่น โฟลเดอร์
VIDEO เก็บไฟล์วิดีโอ
Music เก็บไฟล์เพลง
Photos เก็บรูปภาพ
EBook เก็บไฟล์อีบุ๊คแบบ PDF
ฯลฯ
11. เมื่อมีการติดตั้ง App ใดๆ ลงในแท็บเล็ต แนะนำให้ทดลองสร้างข้อมูล สร้างเอกสารด้วยแอพนั้นๆ เพื่อจะได้ดูว่า ตัวโปรแกรมได้มีการนำข้อมูลไปเก็บไว้ที่ใดบ้าง เราจะได้รู้ว่าแต่ละโฟลเดอร์นั้นคืออะไร เก็บข้อมูลอะไรไว้นั่นเอง


บทความแนะนำวิธีการเชื่อมต่อ Android แท็บเล็ตกับคอมพิวเตอร์เพื่อแลกเปลี่ยน ถ่ายโอนข้อมูลระหว่างแท็บเล็ต Android กับคอมพิวเตอร์ สำหรับข้อมูลที่ถ่ายโอนนั้น อาจจะเป็น รูปภาพ เพลง วิดีโอ ไฟล์เอกสาร Word Excel ไฟล์หนังสือแบบ eBook ฯลฯ 

วิธีการเชื่อมต่อเพื่อถ่ายโอนนั้นเราสามารถทำได้หลายวิธี
1. ถ่ายโอนผ่านสาย USB แท็บเล็ตทุกรุ่นจะมีสาย USB สำหรับถ่ายโอนข้อมูลมาให้อยู่แล้ว เราจึงสามารถเชื่อมต่อแท็บเล็ตกับคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะหรือโน้ตบุ๊คได้ทันที
2. ถ่ายโอนข้อมูลผ่าน Wi-Fi เป็นการถ่ายโอนข้อมูลที่ไม่ต้องเชื่อมต่อสาย สะดวก
3. ถ่ายโอนข้อมูลผ่าน Bluetooth กรณีนี้เหมาะสำหรับถ่ายโอนข้อมูลระหว่างแท็บเล็ตและ Notebook เพราะส่วนใหญ่จะมี Bluetooth อยู่แล้ว
4. ถ่ายโอนผ่านระบบเก็บข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เช่น Cloud หรือ Dropbox

การจัดการกับข้อมูลในแท็บเล็ตหลังการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แล้ว
เมื่อได้ทำการเชื่อมต่อแท็บเล็ตกับคอมพิวเตอร์แล้ว ในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างกัน สามารถทำได้หลายแบบเช่น
1. คอมพิวเตอร์จะมองเห็นข้อมูลในแท็บเล็ตเหมือนเป็นไดรว์เก็บข้อมูล เราจึงสามารถก็อปปี้ข้อมูลระหว่างเครื่องได้เหมือนการก็อปปี้ไฟล์นั่นเอง

2. ใช้โปรแกรมช่วยจัดการกับข้อมูลในแท็บเล็ต Android โดยเฉพาะเช่น Moborobo ซึ่งนอกจากจะสามารถก็อปปี้ข้อมูลไปมาระหว่างเครื่องทั้งสองแล้ว ก็ยังสามารถจับภาพหน้าจอแท็บเล็ต Android ได้อีกด้วย อีกทั้งยังจัดการกับ App ในเครื่อง ติดตั้งแอพ เล่นเพลง เล่นวิดีโอ โดยดึงข้อมูลในแท็บเล็ตมาเล่นผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย เป็นโปรแกรมที่ควรติดตั้งไว้ใช้งาน


สำหรับแท็บเล็ตส่วนใหญ่ ในเครื่องก็จะมีข้อมูลลับเฉพาะ หากไม่ต้องการให้ใครเข้าถึงได้ง่ายๆ ก็สามารถตั่งค่าการล็อกหน้าจอได้หลายแบบการปลดล็อคหน้าจอแบบธรรมดา โดยระบบ Android จะใช้การล็อคและปลดล็อคหน้าจอแบบธรรมดาๆ ไม่สามารถป้องกันอะไรได้ โดยการลากกุญแจไปที่ตัวปลดล็อคก็จะเข้าสู่หน้าหลักหรือหน้า Home หรืองานที่กำลังทำค้างอยู่ขณะนั้น แต่ข้อดีของการล็อกแบบนี้ก็คือ ช่วยป้องกันมือไปโดนแอพหรือปุ่มใดๆ แต่ถ้าหากต้องการการตั้งค่าการล็อคเครื่องที่มีความปลอดภัยมากกว่านั้น สามารถตั้งค่าได้หลายวิธี

 

1. ในหน้าจอ Settings แตะที่ Security
2. ในส่วน Screen Security ให้แตะที่ Screen Lock
3. จะเข้าสู่ตัวเลือกให้ตั้งค่าการล็อคหน้าจอแบบต่างๆ None จะไม่มีการใช้การล็อคหน้าจอ
4. Slide ใช้การสไลด์เพื่อปลดล็อคหน้าจอ
5. Pattern ใช้จุดและการลากเป็นเส้นบนหน้าจอเพื่อปลดล็อก
6. PIN ใช้รหัสตัวเลขสี่หลัก คล้ายบัตร ATM เพื่อปลดล็อค
7. Password ใช้การตั้งรหัสผ่านเพื่อปลดล็อกหน้าจอ
8. ในบางรุ่นจะมี Face Unlock ใช้การถ่ายภาพใบหน้าเพื่อปลดล็อค ซึ่งแนะนำให้ถ่ายโดยทำหน้าแปลกๆ ที่ยากจะเลียนแบบ เพราะการใช้ภาพนิ่งธรรมดา สามารถปลดล็อคได้ด้วยการนำภาพถ่ายมาใช้
9. ชอบแบบไหนก็เลือกได้ตามใจชอบกันเลย


บทความแนะนำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่ของแท็บเล็ต Android เพื่อให้สามารถจัดการกับแหล่งพลังงานของแท็บเล็ตได้อย่างคุ้มค่า แท็บเล็ตแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อจะมีคุณภาพแบตเตอรี่ต่างกัน แท็บเล็ตแบรนด์ดัง คุณภาพสูง แบตเตอรี่จะใช้ได้นานร่วม 10 ชั่วโมง แต่แท็บเล็ตราคาประหยัดจากจีน บางรุ่นใช้งานได้ไม่ถึง 2 ชั่วโมง ต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนจะซื้อมาใช้งาน เพราะส่วนใหญ่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ไม่ได้ 

การชาร์จแบตเตอรี่ให้แท็บเล็ต
การชาร์จแบตเตอรี่ให้แท็บเล็ตจะทำได้สองแบบคือชาร์ตผ่านพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์กับอะแดปเตอร์ของแท็บเล็ตรุ่นนั้นๆ โดยเฉพาะ

ดูการใช้งานแบตเตอรี่ของโปรแกรมต่างๆ
โปรแกรมต่างๆ ที่ทำงานบนแท็บเล็ต Android บางตัวก็ทำงานตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใช้งาน บางตัวกินไฟใช้พลังงานมาก ทำให้แบตหมดเร็ว จึงควรปิดการใช้งานและเปิดใช้งานเฉพาะโปรแกรมที่จำเป็นๆ
1. ในหน้าจอการตั้งค่า Settings ให้แตะ Battery
2. แตะ 3s on Battery
3. รายชื่อส่วนต่างๆ ของระบบที่มีการใช้พลังงานแบตเตอรี เช่น Wi-Fi หากขณะนั้นเราไม่ได้ใช้งาน Wi-Fi ก็ควรจะปิดการทำงานเพราะจะเปลืองแบตเตอรี่เปล่าๆ

4. นอกจากนี้ ก็ควรจะปิดโปรแกรมที่กำลังทำงานบางตัวเช่นกัน ซึ่งจะทำงานเบื้องหลัง อยู่ตลอดเวลา ก็ควรปิดเพื่อประหยัดพลังงาน ให้แตะที่ Apps
5. แตะที่ Running Apps
6. รายชื่อแอพที่กำลังทำงานจะแสดงออกมา แอพตัวใดที่ไม่ได้ใช้งาน แต่ทำงานตลอดเวลาก็ควรจะปิดเพื่อประหยัดพลังงาน

คำแนะนำในการใช้งานแบตเตอรี่ให้ได้นานๆ
สำหรับแท็บเล็ตราคาแพง แบรนด์ดัง ส่วนใหญ่แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นาน ไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะสามารถใช้งานได้ทั้งวันหรือหลายวันเลยทีเดียว แต่แท็บเล็ตราคาประหยัดจากจีนบางรุ่น แบตเตอรี่ใช้ได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นจึงควรหาวิธีปรับแต่งการใช้งานให้ได้นานๆ เช่น
1. พื้นหลังแท็บเล็ต ให้ใช้ภาพธรรมดาหรือ Wallpapers ธรรมดาๆ ที่มีกับตัวระบบปฏิบัติการก็พอ ไม่ควรใช้แบบวิดีโอหรือภาพเคลื่อนไหว
2. ปิดการใช้งานระบบสัญญาณวิทยุทั้งหลายเช่น Bluetooth, Wi-Fi และเปิดใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น
3. ความสว่างหน้าจอปรับตั้งไว้แค่พอให้มองเห็นได้ชัดเจนก็พอ
4. ปิดแท็บเล็ตเมื่อไม่ใช้งานแล้ว เพราะแท็บเล็ตราคาถูก เปิดทิ้งไว้แบตก็หมดได้ทันที แม้ไม่ใช้อะไรเลย ต่างจากยี่ห้อแพงๆ ราคาสูงๆ ในโหมดแสดนบาย แบตเตอรี่จะอยู่ได้นานกว่ามาก
5. แอพประเภทวิดเจ็ตที่มีการทำงานอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่ควรใช้ เพราะการอัพเดทข้อมูลโดยแอพเหล่านี้ตลอดเวลา จะกินแบต ไม่ต่างอะไรกับมือถือที่ต้องรับ SMS ตลอดเวลา แบตจะหมดเร็ว
6. ตั้งโปรแกรมปิดหน้าจอให้ปิดเร็วๆ


ภาษาสำหรับแสดงผลในหน้าจอสามารถเลือกให้แสดงผลแบบภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ คำสั่ง รายการคำสั่ง เมนูต่างๆ ก็จะถูกแสดงตามที่เราเลือก ถนัดภาษาไทยก็เลือกภาษาไทย แต่แนะนำภาษาอังกฤษมากกว่า ควรจะศึกษาให้คุ้นเคย จะง่ายในการศึกษาอะไรใหม่ๆ เพราะโปรแกรมส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ
1. เข้าหน้า Settings แล้ว แตะ Language & Input
2. จากตัวอย่างภาษาได้ถูกกำหนดเป็นภาษาอังกฤษ ให้แตะ Language
3. แตะเลือกภาษาไทย ไทย
4. รายการคำสั่ง เมนูต่างๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นภาษาไทย


วิดเจ็ตจะเป็นแอพที่สามารถอัพเดทข้อมูลได้อัตโนมัติ ข้อมูลอะไรที่เราต้องดูบ่อยๆ ผ่านหน้าจอแท็บเล็ต ก็สามารถตั้งให้วิดเจ็ตนั้นๆ แสดงบนหน้าจอ เพื่อให้อัพเดทข้อมูลผ่านหน้าจอได้ทันที เช่น อีเมล์กรณีมีอีเมล์เข้ามาก็จะแสดงหัวข้ออีเมล์ หรือข้อความที่อัพเดทใน Facebook แสดงสภาพอากาศ ฯลฯ ข้อดีก็คือช่วยให้เรารับรู้ข่าวสารได้ทันที แต่ข้อเสียก็คือ โปรแกรมเหล่านั้นจะมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลานั่นเอง หากเลือกใช้โปรโมชันอินเตอร์เน็ตแบบจำกัด คงไม่ดีแน่ เพราะแอพเหล่านี้จะเชื่อมต่อเอง ทำให้เสียเงินค่าชั่วเมงเน็ตเพิ่ม ที่เรียกว่าเน็ตรั่วนั่นเอง ต้องควบคุมให้ดี ส่วนใหญ่โดนกันทั้งนั้น เสียเงินโดยใช่เหตุ
1. ตัวอย่างแอพแบบวิดเจ็ตนาฬิกาแสดงเวลา
2. การลบแอพแบบวิดเจ็ตให้แตะที่วิดเจ็ตค้างไว้ แล้วลากไปที่ X Remove
3. การเพิ่มวิดเจ็ต ให้เข้าหน้า ไอคอนรวมแอพ
4. แตะแท็บ Widgets
5. แตะไอคอนแอพที่ต้องการค้างไว้ แล้วลากไปวางบนหน้าจอ (Home) ตามต้องการ



ไอคอนของแอพบนหน้าจอแท็บเล็ต Android เราสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ เช่น การเลือกโปรแกรมที่ใช้บ่อยๆ มาแสดงในหน้าจอแรกหรือหน้าจอ Home เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้งาน
1. ในหน้า Home หรือหน้าหลักของแท็บเล็ตเราจะสามารถวางไอคอนแอพต่างๆ ได้ โดยปกติเมื่อซื้อเครื่องมา ทางผู้ขายอาจจะติดตั้งแอพต่างๆ ให้พร้อมกับนำแอพมาแสดงในหน้าจอ
2. หน้า Home หรือหน้าหลักนั้น แท็บเล็ตหลายรุ่นจะมีหน้าหลักไม่เท่ากัน บางรุ่นมีหน้าหลัก 5 หน้า หรือ 7 หน้า เพื่อให้เราวางไอคอนแอพต่างๆ ได้มากพอตามที่เราต้องการนั่นเอง
3. แอพไอคอนใดๆ ในหน้าจอ เราสามารถย้ายตำแหน่งได้ โดยแตะที่แอพค้างไว้สักพัก แล้วลากไปวางตำแหน่งใหม่ในหน้าจอเดียวกัน
4. หรือหากต้องการวางในตำแหน่งหน้าจออื่น เช่นหน้าจอหลักทางซ้ายมือ ก็ลากไอคอนแอพนั้นๆ ออกไปทางด้านซ้ายมือ ก็จะไปยังหน้าใหม่
5. การลบไอคอนแอพใดๆ ให้แตะไอคอนค้างไว้ แล้วลากไปที่ X Remove



บทความแนะนำการปรับแต่งเสียงต่างๆ ในระบบปฏิบัติการ Android เช่น เสียงริงโทน เสียงเพลง วิดีโอ ขณะเล่นเกม หรือเสียงเตือนอื่น
1. ในหน้า Home แตะไอคอนรวม App
2. แตะไอคอน Settings 

3. แตะคำสั่ง Sound
4. การปรับแต่งเสียงมีหลายส่วนเช่น Volumes สำหรับปรับแต่งระดับความดังของเสียงริงโทน เสียงเพลง เสียงในวิดีโอ เสียงขณะเล่นเกมหรือเสียงที่เล่นในโปรแกรมอื่นๆ เสียงเตือนการตั้งเวลาปลุก
5. Phone ringtone กรณีที่เป็นแท็บเล็ตที่สามารถโทรศัพท์ได้ ก็จะสามารถตั้งเสียงริงโทนสำหรับการรอรับสาย
6. Default notification เสียงแจ้งเตือนต่างๆ เช่น กรณีมีอีเมล์เข้ามา หรือมีข้อความ หรือการแจ้งเตือนจากระบบ
7. System ตั้งเสียงให้ระบบ เช่น
- Dial pad touch tones เสียงกดปุ่มเวลาใช้งานโทรศัพท์ เสียงกดปุ่มตัวเลข
- Touch sounds เสียงเวลาแตะที่หน้าจอกรณีตั้งค่าหรือเลือกตัวเลือกใดๆ หรือเปิดแอพ สามารถตั้งให้มีเสียงได้
- Screen lock sound เสียงเตือนเวลาหน้าจอล็อค ทำงาน


บทความแนะนำการปรับแต่งพื้นหลังของ Android แท็บเล็ต ซึ่งมีหลายแบบให้เลือกตามใจชอบ

ประเภทของ Wall Paper
จากตัวอย่างนี้จะเป็น Android 4.0 ซึ่งจะมีพื้นหลังของแท็บเล็ต Android ให้เลือกหลายแบบ เช่น
1. Gallery ICS จะเป็นการนำภาพที่มีใน Gallery ซึ่งอาจจะเป็นภาพถ่ายหรือภาพที่เราได้ถ่ายโอนมาไว้ในเครื่อง มาทำเป็นพื้นหลัง
2. Live Wallpapers จะเป็นภาพเคลื่อนไหว หากใช้ภาพแบบนี้ พื้นหลังหน้าจอก็จะเคลื่อนไหวได้
3. Super-HD Player เป็นการนำวิดีโอมาทำเป็นภาพพื้นหลัง พื้นหลังของเรา ก็จะเล่นวิดีโอเป็นภาพเคลื่อนไหว เหมาะกับเครื่องเสป็คแรงๆ และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน
4. Wallpapers เป็นภาพพื้นหลังสำเร็จรูปที่มาพร้อมกับตัวโปรแกรม Android

วิธีการปรับแต่งพื้นหลังหรือ Wall Papaper
จากตัวอย่างจะเป็นพื้นหลังแบบ Wallpapers พื้นหลังสำเร็จรูปที่มากับตัว Android เป็นพื้นหลังที่ดูเรียบง่ายดี ส่วนใครจะชอบแบบอื่นการตั้งค่าก็คล้ายๆ กัน
1. แตะที่พื้นหลังค้างไว้
2. จากนั้นจะปรากฏกรอบข้อความให้เลือกประเภทของพื้นหลังที่ต้องการ ก็แตะเลือกแบบที่ต้องการ เช่น Wallpapers
3. และเลือกภาพที่ต้องการ
4. แตะ Set wallpaper
5. เราก็จะได้พื้นหลังตามต้องการ


ระบบปฏิบัติการ Android เป็นของ Google การจะใช้ความสามารถของระบบนี้ให้เต็มที่ ต้องลงทะเบียนใช้งานอีเมล์กับเครื่องแท็บเล็ต เพื่อให้สามารถใช้บริการต่างๆ ที่ Google เตรียมไว้ให้ได้ เช่น ติดตั้ง App หรือโปรแกรมสำหรับใช้กับแท็บเล็ต การสำรองข้อมูลไว้บน Clound การจัดการกับอีเมล์ ฯลฯ 

ผู้ใช้แท็บเล็ต มือถือ หรืออุปกรณ์ใดๆ ที่ใช้ระบบปฏิบัติการนี้ จึงจำเป็นจะต้องลงทะเบียนใช้งานอีเมล์ของ Gmail ในการซื้อเครื่องครั้งแรกนั้น สำหรับเครื่องราคาถูกจากจีนหรือการสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตก็ตาม แนะนำให้สร้างอีเมล์ของ Gmail ไว้ก่อน สอบถามทางผู้ขายว่า สามารถลงทะเบียนใช้งานเครื่อง พร้อมติดตั้งแอพ โดยใช้บัญชีอีเมล์ของเราเลยได้หรือไม่ หากทำได้ จะดีมาก เพราะเวลาซื้อเครื่องทางร้านลงแอพให้ แต่ข้อมูลอีเมล์ที่ใช้ลงทะเบียนนั้นเป็นชื่อทางร้าน ซึ่งมักจะไม่ให้ข้อมูลรหัสผ่านเข้าไปติดตั้งแอพเพิ่ม หากเราต้องรีเซ็ตเครื่องใหม่ เพราะมีปัญหา โปรแกรมเหล่านี้ก็จะหายไป

การลงทะเบียนให้ปฏิบัติดังนี้
1. เข้า Settings แตะไอคอน Settings ในหน้ารวม App
2. แตะ Accounts & sync
3. แตะ Add account
4. แตะเลือก Google

5. แตะเลือก New สร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่ หรือเลือก Existing หากมีอีเมล์ของ Gmail อยู่แล้ว หรืออาจจะเคยมีแท็บเล็ตอยู่แล้วก็ใช้ชื่อเดียวกันได้
6. แตะแล้วพิมพ์ชื่อลงไป ชื่อและนามสกุลเป็นภาษาอังกฤษ
7. เสร็จแล้วแตะ Next ทำงานต่อ

8. แตะและพิมพ์ Email ลงไป จะต้องไม่เหมือนใคร หากซ้ำกับคนอื่น ก็ต้องหาชื่อใหม่ไปเรื่อยๆ
9. เสร็จแล้วแตะ Next

10. โปรแกรมจะทำการตรวจสอบว่าชื่อที่ต้องการตั้งเป็นอีเมล์ ผ่านหรือไม่ มีใครใช้หรือยังว่างหรือไม่
11. หากผ่านขั้นตอนการเลือกชื่อไปแล้วได้ อีเมล์นั้นๆ สามารถใช้ได้ ก็จะไปขั้นตอนการกำหนดรหัสผ่าน ประมาณ 8 ตัวอักษรเป็นอย่างน้อย พิมพ์อะไรลงไป ก็จำให้ได้ จดไว้
12. เสร็จแล้ว แตะ Next ทำงานต่อ

13. จะไปยังส่วนสำหรับการกู้คืนบัญชี กรณีลืมรหัสผ่าน โดยจะให้ระบุอีเมล์สำรองลงไป เพื่อไว้ส่งข้อมูลรหัสผ่านไปอีเมล์ดังกล่าว
14. แตะเลือกคำถามที่ต้องการ
15. แตะและพิมพ์คำตอบ
16. จากนั้นแตะ Next ทำงานต่อ
17. จะไปขั้นตอนให้เลือกเข้าร่วมกับ Google+ ซึ่งเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คของ Google คล้ายๆ กับของ Facebook นั่นเอง

18. จะไปหน้าจอ Finish Creating Account ให้แตะ I Accept เพื่อยอมรับ
19. โปรแกรมจะเริ่ม Sync ข้อมูลเข้าเซิร์ฟเวอร์ของ Google รอสักพัก

20. เสร็จแล้วจะไปหน้าจอให้ระบุข้อมูลบัญชีบัตรเครดิตสำหรับใช้ซื้อ App ใน Play Store ของ Google เพื่อซื้อ App มาไว้ใช้งานกับเครื่องแท็บเล็ต
21. จะไปขั้นตอน Backup คลิก Next เพื่อจบการทำงานและกลับไปหน้า Setting บัญชีอีเมล์ เป็นอันเสร็จสิ้นการสร้าง Account


อุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android เริ่มเข้ามามีความสำคัญและใกล้ตัวคนเรามากขึ้น โดยเฉพาะมือถือ เราจึงควรศึกษาการใช้งาน เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์อุปกรณ์เหล่านี้ให้คุ้มค่าที่สุด

เมื่อก่อนนั้น คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะต้องใช้ทำงาน เป็นความสามารถที่หลายบริษัทระบุว่าจะ พิจารณาเป็นพิเศษ สำหรับผู้ที่มีความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ แต่อุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android นั้นเป็นอุปกรณ์ใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของเรา โดยเฉพาะมือถือ แท็บเล็ตและทีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 

ความสามารถของอุปกรณ์เหล่านี้ ทำหลายอย่างได้ใกล้เคียงคอมพิวเตอร์ เช่น ใช้ทำงานเอกสาร พิมพ์งาน ดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ต รับส่งอีเมล์ ดูหนัง ดูทีวีสดหรือย้อนหลัง ดูวีดีโอใน Youtube ค้นหาสถานที่ต่างในแผนที่ ฯลฯ งาน เหล่านี้เป็นสิ่งใกล้ตัวที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวัน

มือถือ แท็บเล็ตหรือทีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการอื่นนอกเหนือจาก Android ก็มีให้เลือกอย่างเช่น iOS ของ Apple หรือ Windows 8 ของ Windows แต่ราคาเครื่องจะสูงกว่าอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งมีราคาต่ำมาก จนคนทั่วไป สามารถซื้อหาได้ อย่างมือถือหรือแท็บเล็ต Android ก็มีแนวโน้มถูกลงเรื่อยๆ แต่ความสามารถนั้นเกินตัว สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ใกล้เคียงคอมพิวเตอร์

การที่อุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android มีราคาที่ถูกลงเรื่อยๆ นี่เอง ในอนาคตอุปกรณ์เหล่านี้ต้องเป็นที่นิยม ใช้กันแพร่หลาย เมื่อนั้นก็ยากจะหลีกเลี่ยง จำเป็นต้องใช้อยู่ดี แต่หากใครเข้าถึงก่อน ก็มีโอกาสใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเช่น การผลิตซอฟท์แวร์ หรืออีบุ๊ค เพื่อขายผ่านระบบ Android ซึ่งมีคนจำนวนหลักล้านใช้อุปกรณ์เหล่านี้ ก็เป็นโอกาสสร้างรายได้มหาศาลเลยทีเดียว


บทความแนะนำให้รู้จักอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android เป็นตัวขับเคลื่อนการทำงานซึ่งมีทั้งอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคสำหรับพกพาขนาดเล็กและอุปกรณ์ขนาดใหญ่อย่างทีวีเลยทีเดียว

ระบบปฏิบัติการ Android สามารถใช้ได้ฟรีโดยไม่เสียค่าลิขสิทธิ์เหมือน Windows หรือระบบปฏิบัติการปิดอื่นๆ อย่าง iOS จึงทำให้ระบบปฏิบัติการนี้ได้รับความนิยมนำไปใช้งานค่อนข้างหลากหลาย และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

ตัวอย่างการนำไปใช้งานที่เราพบเห็นกันเป็นส่วนมากจะเป็นมือถือสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตพีซีมากกว่าอุปกรณ์อื่นๆ 

การนำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้กับมือถือสมาร์ทโฟน
แรกเริ่มเดิมที Android ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์พกพาอย่างมือถืออยู่แล้ว ก่อนจะเริ่มมีการนำมาใช้กับแท็บเล็ตและอุปกรณ์อื่นๆ โดยบริษัท Android Inc. ก่อนจะถูกซื้อกิจการโดย Google และก็ได้พัฒนาต่อมาเรื่อยๆ ร่วมกับบริษัทคู่ค้าด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ บริษัทมือถือแบรนด์ดัง หลายบริษัท เช่น Samsung, HTC, LG, Asus, Motorola, Sony Ericsson ฯลฯ ดังที่เราเห็นกันทุกวันนี้นั่นเอง ซึ่งมีมือถือที่ใช้ Android ให้เลือกเยอะมากในท้องตลาดขณะนี้ซึ่งปริมาณการใช้งานก็เพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

การนำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้กับแท็บเล็ต
แท็บเล็ตพีซีถือเป็นอุปกรณ์ที่มีการนำ Android ไปใช้งานมากรองจากมือถือ แต่อนาคตมีโอกาสแซงหน้ามือถือ เพราะแท็บเล็ตมีราคาถูกกว่ามือถือที่ใช้ระบบ Android อีกทั้งหน่วยงานรัฐได้ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนใช้แท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์ช่วยในการเรียนรู้ ซึ่งได้มีการสร้างโปรแกรมการศึกษาสำหรับเด็ก ไว้สำหรับศึกษาด้วยตนเองอีกด้วย ในขณะที่การใช้งานด้านธุรกิจหรือการใช้งานส่วนตัว แท็บเล็ตมีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้งานแทนโน้ตบุ๊ค เพราะพกพาสะดวกกว่า น้ำหนักเบา พกพาง่าย แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่าโน้ตบุ๊ค การเปิดเครื่องปิดเครื่องทำได้รวดเร็ว รองรับการใช้งานพื้นฐานได้แทบทั้งหมดที่เกี่ยวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อเสพข้อมูลไอที เช่น ท่องเน็ต ดูหนังฟังเพลง อ่านข่าว ดูทีวี รับส่งอีเมล์ ถ่ายภาพ โทรศัพท์ ฯลฯ

การนำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้กับโน้ตบุ๊คและคอมพิวเตอร์
มีบางบริษัทที่นำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้กับโน้ตบุ๊ค โดยผลิตสินค้าที่กึ่งลูกผสมระหว่างแท็บเล็ตกับโน้ตบุ๊ค มีแป้นพิมพ์สะดวกในการป้อนข้อความ ขณะเดียวกันก็สะดวกในการสั่งงานเพราะสามารถใช้หน้าจอแบบทัชสกรีนได้ คอมพิวเตอร์ประเภทนี้เหมาะสำหรับไว้เสพข้อมูลเช่นกัน คือใช้งานพื้นฐานที่จำเป็นเกี่ยวกับไอที เช่น ท่องเน็ต ฟังเพลง รับส่งอีเมล์ เป็นต้น แต่การที่มีคีย์บอร์ดติดมาให้ด้วยเหมือนโน้ตบุ๊คสามารถต่อเมาส์ได้เหมือนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เราจึงสามารถใช้งานได้มากกว่าการใช้แท็บเล็ต เพราะสามารถใช้ทำงานเอกสารได้ แต่งภาพ ตัดต่อวิดีโอ จุดแข็งของอุปกรณ์เหล่านี้ก็คือแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานนั่นเอง

ตัวอย่างโน้ตบุ๊คของ GoNote ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android

ตัวอย่างคอมพิวเตอร์ของ Asus ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Asus

การนำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้กับทีวี ทีวีบ็อกซ์
การนำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้เป็นระบบควบคุมการทำงานของทีวีเริ่มมีผลิตออกมาจำหน่าย เช่น GoogleTV หรือ TV ของ LG หรือ ProVision Android TV มีระบบ Android ในตัวสามารถดาวน์โหลด App มาเล่นกับในเครื่องได้ Android TV Box เป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่มีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Android ไว้สำหรับนำไปใช้งานกับ TV ทั่วไปผ่านช่อง HDMI คราวนี้ก็จะสามารถใช้งาน TV พร้อมกับเล่น App ของ Android ได้อีกด้วย เหมาะสำหรับไว้เล่นเกม เพราะสามารถดาวน์โหลดเกมฟรีจากแอนดรอยด์มาเก็ตได้ฟรี หรือจะต่อคีย์บอร์ดต่อเมาส์ ก็เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมๆ ได้เลย

การนำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้กับกล้องดิจิตอล
กล้องดิจิตอลเป็นอุปกรณ์อีกประเภทหนึ่งที่มีการนำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้งานเป็นตัวควบคุมการทำงานของเครื่อง ซึ่งมีบริษัทที่ผลิตออกมาจำหน่าย เช่น Nikon กล้อง Coolpix S800c และ Samsung Galaxy Camera

การนำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้เป็นเครื่องเสียงติดรถยนต์
เครื่องเสียงรถยนต์ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Android ก็จะสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ในส่วนคนขับนั้นนอกจากดูหนังฟังเพลงแล้ว ก็ยังใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยนำทาง ช่วยแสดงตำแหน่งของรถว่าอยู่ที่ใด ในแผนที่โลก สำหรับผู้โดยสารแล้วก็สามารถเพลิดเพลินกับการดูหนัง เล่นเกม ใช้งาน App ต่างๆ ได้

การนำระบบปฏิบัติการ Android ไปใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ
เนื่องจากผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการ Android คือ Google ได้อนุญาตให้ใช้ Android ได้ฟรี เพราะฉะนั้นในอนาคตก็น่าจะมีการนำไปใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ ที่หลากหลายอย่างแน่นอน เพราะยิ่งใช้กันมากเท่าไหร่ ก็เป็นช่องทางให้ Google ทำเงินได้มากเท่านั้น หลายคนสงสัยให้ใช้ฟรีแล้วจะได้เงินได้อย่างไร มีหลายช่องทางที่สามารถทำได้ เช่น ค่านายหน้าจากการขาย App ในแอพมาร์เกตที่ต้องผ่านระบบของ Google โดยจะได้ 30% อุปกรณ์ที่ใช้ Android ตามที่ Google ได้สำรวจล่าสุดนั้นมีประมาณร่วม 500 ล้านเครื่องแล้ว คิดเล่นๆ หากมีคนซื้อสัก 200 ล้านคน โปรแกรมละ 100 บาท ก็ปาเข้าไปกี่ล้านแล้วละคร้าบบ พี่น้อง


 

บทความแนะนำความสามารถของระบบปฏิบัติการ Android โอเอสยอดนิยมสำหรับอุปกรณ์พกพาอย่างมือถือและแท็บเล็ต ในบทความนี้จะแนะนำความสามารถต่างๆ ที่ Android สามารถทำได้ 

แอนดรอยด์จัดเป็นโปรแกรมประเภทระบบปฏิบัติการคล้ายกับ Windows XP, 7 หรือ 8 นั่นเองแต่ถูกออกแบบมาให้ใช้กับอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคสำหรับพกพา อย่างมือถือสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ทีวีบอกซ์ กล้องดิจิตอล โน้ตบุ๊ค หน้าที่หลักก็คือควบการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้นั่นเอง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของเรามากกว่าคอมพิวเตอร์ซึ่งใช้ Windows ควบคุมการทำงาน เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้การใช้งาน Android อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในแต่ละวันนั้นมีการเปิดใช้งานอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ไม่น้อยกว่าวันละ 1.3 ล้านเครื่องเลยทีเดียว (รายงานผลสำรวจจาก Google ผู้พัฒนาระบบ Android)

Android เป็นระบบปฏิบัติการที่สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ความสามารถไม่เทียบเท่า Windows ที่เราคุ้นเคยกัน ความสามารถห่างกันเยอะ เพราะ Android จะใช้สำหรับอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กเท่านั้น เน้นการใช้งานเพื่อเสพข้อมูลใช้ข้อมูลมากกว่า เอาล่ะ เราจะไปดูกันว่าระบบปฏิบัติใหม่ตัวนี้สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง

ความสามารถด้านความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง
อุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android อย่างมือถือหรือ Tablet จะมีโปรแกรมสำหรับฟังเพลง ดูหนัง ดูวิดีโอ แม้จะเป็นเครื่องที่ราคาไม่แพงนัก หลักสองสามพันบาทขึ้นไป แต่ความสามารถในการเล่นเพลงก็ยังทำได้หลายชั่วโมงเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊ค การดูหนังก็เช่นกัน แต่การใช้งานบนแบตเตอร์รี่ของอุปกรณ์เหล่านี้ จะใช้งานได้ยาวนานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพและราคาของเครื่อง เครื่องแพงยี่ห้อดัง วัสดุดี ก็ใช้ได้นานหลายชั่วโมง แต่แท็บเล็ตราคาประหยัดจากจีน อาจจะได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น หากจุดประสงค์ในการใช้งานเน้นการใช้งานแบบนอกสถานที่เป็นหลัก ก็ต้องซื้อเครื่องที่แบตเตอรี่อึดและทน ใช้งานได้ยาวนานทั้งวัน

การรับส่ง ตอบอีเมล์ เช็คเมล์ ใช้งานอินเตอร์เน็ต
สำหรับมือถือหรือแท็บเล็ตระบบ Android ที่สามารถใส่ซิมได้ ก็จะสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ ใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ที่ต้องการ นอกจากนี้ก็ยังสื่อสารแบบอื่นได้อีกด้วย อย่างการแช็ต สนทนาผ่านเน็ต ซึ่งสามารถส่งภาพส่งวิดีโอให้กันได้อีกด้วย กรณีที่เป็นการจัดการกับอีเมล์ ก็จะมีระบบ Push eMail ซึ่งจะแจ้งเตือนเมื่อมีอีเมล์ส่งถึงเรา คล้ายๆ มีคนส่ง SMS เข้ามือถือเรานั่นเอง ช่วยให้ไม่พลาดการติดต่อ โดยเฉพาะแท็บเล็ต แม้จะใช้เครื่องราคาประหยัดพันกว่าบาทขึ้นไป ก็ยังสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ เพราะสามารถเชื่อมต่อผ่านจุดบริการอินเตอร์เน็ต หรือผ่านมือถือได้เช่นกัน

eBook อ่านอีบุ๊ค พกพาอีบุ๊คไว้อ่าน
ด้วยความสามารถในการใช้งานได้ค่อนข้างยาวนาน พกพาง่ายและเปิดเครื่องได้ทันที เราจึงสามารถก็อปปี้อีบุ๊คหรือดาวน์โหลดอีบุ๊คมาไว้อ่านบนมือถือหรือ Android Tablet ได้เป็นหมื่นเล่มได้สบายๆ การเลือกซื้อหนังสือมาไว้อ่านก็สะดวกเช่นกัน มีเว็บไซต์ที่ให้บริการหนังสือ สามารถสั่งซื้อได้ง่ายๆ และส่งตรงเข้าเครื่องแท็บเล็ตทันที การชำระเงินก็สะดวกสามารถหักจากบัญชีธนาคารได้เลย สะดวกในการซื้อและชำระเงินอย่างมาก

แผนที่ GPS และอุปกรณ์นำทาง
ในสำหรับมือถือหรือ Android Tablet ที่สามารถโทรออกได้ มี GPS มีเข็มทิศดิจิตอลในตัว จะใช้งานโปรแกรมแผนที่ได้ เป็นอุปกรณ์นำทางกรณีขับรถเพื่อพาไปยังปลายทาง หรือใช้ในบางโปรแกรมอย่าง โปรแกรมแสดงตำแหน่ง Tablet หรือมือถือ Android กรณีเครื่องหาย สามารถค้นหาเครื่องได้

ติดต่อสื่อสาร แช็ท โทรศัพท์ผ่านอินเตอร์เน็ตแบบเห็นหน้า
การแช็ทหรือสื่อสารผ่านโปรแกรมบางตัวในมือถือหรือ Android Tablet จะสามารถสนทนากันแบบเห็นหน้ากันได้ แถมยังส่งไฟล์ ส่งภาพให้กันได้เช่นกัน แต่คงไม่ดีสำหรับคนมีกิ๊กเยอะๆ น่าจะลำบาก เพราะเห็นหน้าก็รู้ว่าอยู่ที่ชอบๆ อันตรายมาก

ถ่ายภาพ ตกแต่งภาพ
สำหรับมือถือหรือแท็บเล็ต Android ที่มีกล้อง ก็จะสามารถถ่ายภาพได้ และนำภาพไปตกแต่งได้ตามต้องการ ซึ่งมีโปรแกรมแต่งภาพให้เลือกใช้มากมาย แต่ในแท็บเล็ตราคาไม่เกินหมื่น คุณภาพกล้องอาจจะไม่ดีนัก ยังสู้ภาพจากกล้องดิจิตอลจริงๆ ไม่ได้ ในการแต่งภาพด้วย App ส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งง่ายๆ โดยใช้ฟิลเตอร์หรือเอฟเฟคต์แบบต่างๆ แต่งเสร็จแล้วก็ส่งเข้า Facebook ได้เลย
แต่ในราคาใกล้เคียงกัน มือถือ Android จะมีกล้องที่มีคุณภาพดีกว่า หากเน้นถ่ายภาพควรเลือกซื้อมือถือมากกว่าแท็บเล็ต Android

จัดการงานเอกสาร พิมพ์งาน คำนวณ บัญชี
เป็นอีกความสามารถหนึ่งที่อุปกรณ์ที่ใช้ Android อย่างมือถือหรือแท็บเล็ตสามารถทำได้ เราสามารถใช้ทำงานเอกสาร พิมพ์งาน พิมพ์ข้อความ สร้างเอกสารที่ต้องคิดคำนวณตัวเลข บัญชี แอพหรือโปรแกรมสำหรับใช้งานก็ถูกแสนถูกเช่น OfficeSuite ราคา ไม่ถึง 5 ร้อยบาทเท่านั้นเอง ก็จะสามารถใช้งานมือถือหรือแท็บเล็ต Android ไว้ทำงานเอกสารสำหรับสำนักงานได้สบายๆ แต่การเลือกซื้อแท็บเล็ตมาใช้ทำงาน แนะนำให้เลือกหน้าจอขนาด 10 นิ้วและแบตเตอรีความจุสูง เพื่อจะได้ใช้งานนอกสถานที่ได้นานๆ

ช่วยในการนำเสนอข้อมูล
สำหรับการนำเสนอข้อมูล หากใช้ Android Tablet ก็ถือว่าทำได้ดี เพราะสามารถใช้นิ้วหรือสไตลัสควบคุมการทำงาน การแสดงภาพหรือขีดเขียนบนหน้าจอได้ จะนำเสนอสำหรับผู้ชมกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คนหรือจะเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ ก็สามารถเชื่อมต่อแท็บเล็ตกับจอทีวีได้ ใช้งานคล่องตัวกว่าคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คมาก

ทำเว็บไซต์ อัพเดทบล็อก
สำหรับผู้ที่ทำเว็บไซต์ ทำบล็อกด้วย Wordpress ก็มี App ที่ช่วยให้อัพเดทบทความลงบล็อกเป็นเรื่องง่าย ใน Android ก็มีโปรแกรมหรือ App ที่ช่วยทำบทความลงเว็บบล็อกได้ไม่ยาก อีกครั้งอุปกรณ์ที่ใช้ Android อย่างมือถือหรือตัวแท็บเล็ตจะมีกล้องในตัว การหาภาพประกอบบทความจึงทำได้ง่ายมากๆ โดยเฉพาะบล็อกแนวท่องเที่ยว เพราะสามารถใช้กล้องในตัวแท็บเล็ตเก็บภาพมาประกอบบทความได้เลย การอัพโหลดข้อมูลเข้าเว็บไซต์ก็สะดวกมากเช่นกันโดยเฉพาะรุ่นที่มี 3G/GPRS/Edge เพราะสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านสัญญาณมือถือ ได้ทุกที่ จึงทำให้สามารถอัพเดทข้อมูลในเว็บไซต์ได้ทุกที่เช่นกัน

เล่นเกม กิจกรรมโปรดของคนใช้โอเอส
เกมสำหรับเล่นบนระบบปฏิบัติการ Android มีให้เลือกเยอะมาก โดยเฉพาะเกมฟรี ในแท็บเล็ต Android ราคาประหยัดบางรุ่น พันกว่าบาท ผู้ขายบางราย แถมเกมมาให้เพียบ เหมาะสำหรับซื้อให้ลูกหลาน ไว้ฝึกใช้งาน เพราะเกมเกี่ยวกับการศึกษา ก็มีให้เลือกมากมายเช่นกัน การติดตั้งเกมลงเครื่องที่ใช้ Android ถือว่าทำได้ง่ายกว่าระบบปฏิบัติการตัวอื่นอย่าง Windows ตรงนี้ก็เลยทำให้ผู้คนนิยมชมชอบการเล่นเกมบนระบบปฏิบัติการ Android โดยเฉพาะมือถือ Android ดังที่เราจะเห็นคนส่วนใหญ่นั่งเล่นโทรศัพท์นั่นเอง ฆ่าเวลาบ้าง แก้เขินบ้าง ไปเป็นกขค คนอื่นเค้า ไม่มีอะไรจะทำ ก็เล่นเกมคั่นเวลาได้

บันทึกนัดหมาย ปฏิทัน เลขาส่วนตัว
ความสามารถในการจัดการนัดหมายเป็นอีกหนึ่งความสามารถที่ระบบปฏิบัติการ Android สามารถทำได้ เราสามารถใช้มือถือหรือแท็บเล็ต Android ช่วยจัดการบันทึกนัดหมาย สร้างแก้ไขนัดหมาย พร้อมการแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลานัดหมาย

การใช้งานอินเตอร์เน็ต ดูข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆ
การใช้ Android Tablet ดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ก็เป็นกิจกรรมยอดนิยมอันดับต้นๆ ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่าหน้าจอมือถือ ช่วยให้การท่องอินเตอร์เน็ต อ่านข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆ มีความสะดวกสบายพอสมควร หากใช้บ่อยๆ อยากให้พิจารณาแท็บเล็ตหน้าจอขนาด 10 นิ้ว เพราะอ่านสบายกว่ากันเยอะเลย และเลือกรุ่นที่มีหน้าจอความละเอียดสูง เพื่อให้แสดงภาพ แสดงข้อความได้คมชัด อ่านง่าย

ระบบปฏิบัติการ Android กับการศึกษา
มีโปรแกรมมากมายที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android ที่เกี่ยวกับการศึกษาโดยเฉพาะการเรียนรู้เกี่ยวกับภาษา แท็บเล็ต Android สามารถใช้เป็นอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี เพราะมีโปรแกรมหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ ทั้ง Dictionary, อีบุ๊ค ฯลฯ กรณีที่เกี่ยวกับการศึกษาของเด็กก็เช่นกัน มีโปรแกรมสำหรับเด็กมากมายเช่น ฝึกวาดภาพระบายสี ฝึกคัดตัวอักษร พยัญชนะไทย พยัญชนะอังกฤษ คณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ หารฯลฯ

บทสรุป
ตัวระบบปฏิบัติการ Android จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา โดยเฉพาะอุปกรณ์ยอดนิยมอย่างมือถือสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตพีซี ซึ่งนอกจากจะควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้แล้ว ก็ยังจัด

สรรการทำงานให้โปรแกรมที่ทำงานบนนระบบปฏิบัติการ Android อีกด้วย ซึ่งโปรแกรมหรือ App นั้นก็มีให้เลือกเป็นแสนโปรแกรมเลยทีเดียว ความสามารถด้านต่างๆ ที่ App เหล่านั้นสามารถทำได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ได้อย่างที่เราต้องการ ซึ่งยังมีอีกมากมายที่ Android สามารถทำได้ ที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือมือถือซึ่งเป็นอุปกรณ์พกพายอดนิยมที่คนไทยนิยมใช้กัน เครื่องเล็กๆ แต่มีความสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้นทุกวัน

ในอนาคตคาดว่าระบบปฏิบัติการ Android จะถูกนำไปใช้งานในอุปกรณ์ต่างๆ ที่หลากหลายกว่านี้ เพราะมีดีที่เป็นของฟรี ใครก็ใช้ได้ไม่ผิดกฏหมาย เมื่อเทียบกับระบบปิดอย่าง iOS ของ Apple หรือ Windows ของไมโครซอฟท์ และเมื่อถึงเวลานั้น เราอาจจะสามารถใช้งานอุปกรณ์ที่ใช้ระบบ Android ทำงานได้ใกล้เคียงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเลยทีเดียว